วิวัฒนาการของวงการมะเดื่อฝรั่งในประเทศไทยตอนที่#3

ผมขออนุญาตนำบทความนี้มาโพสต่อบน blogger ของผมนะครับ ผมไม่รู้ว่าเจ้าของบทความจริงๆเป็นใคร เอาเป็นว่าผมเอาบทความนี้จากคนที่โพสในเฟสชื่อคุณ Shogun Shin Thongpawa




Figs storyตอนที่3 #การค้าฟูเฟื่องสายพันธ์เฟื่องฟู
ต่อจากตอนที่แล้ว เมื่อมะเดื่อฝรั่งได้รับความสนใจและเป็นที่รู้จักมากขึ้น มีหนังสือ นิตยสาร ลงบทความเกี่ยวกับมะเดื่อฝรั่ง รายการโทรทัศน์ ทำสกู๊ปเกี่ยวกับมะเดื่อฝรั่ง รวมทั้งโซเชี่ยลมีเดีย อย่างFace book ที่มีคนใช้งานเยอะมาก พอเริ่มมีการซื้อขายมากขึ้น ของมีจำนวนน้อย ไม่เพียงพอต่อความต้องการ หลายๆคนที่มีโอกาศ มีช่องทางในการนำเข้าพันธ์ไม้เข้ามาขาย บางคนอยู่ต่างประเทศ ไปเรียนต่างประเทศ ก็ส่งต้นพันธ์เข้ามาขาย บางคนหิ้วขึ้นเครื่องมาเอง บางคนส่งของมาทางไปรษณีย์ บางคน สั่งจากร้านแล้ว ชิปเข้ามาโดยใช้บริการชิปปิ้ง ทำเอกสารถูกต้องตามกฎหมาย บางคนบินไปถึงสวน ถึงเนอสเซอรี่กันเลยก็มี สายพันธ์มะเดื่อฝรั่งจากทั่วทุกสารทิศ ทั้ง อเมริกา สเปน อิตาลี ฝรั่งเศษ ญี่ปุ่น จีน กรีช ตุรกี รวมทั้งประเทศจากตะวันออกกลาง การค้าสายพันธ์ช่วงนี้ขายดีเหมือนให้ฟรี มีการเปิดกลุ่มเพื่อรองรับและอำนวยความสะดวกในการค้าขาย ผู้ซื้อจำนวนมากกลายเป็นFCของผู้ค้า มีการพบเจอกันระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ หลายคนผูกสมัครรักใคร่ คบหาเป็นเพื่อนกัน

ช่วงนี้เป็นเวลาเดียวกับที่ทางมาเลเซีย กระแสการปลูกมะเดื่อฝรั่งกระหึ่มขึ้น อาจเนื่องด้วย มะเดื่อฝรั่งเป็นผลไม้ที่ผูกอยู่กับศาสนาอิสลาม คนมาเลเซีย เริ่มติดต่อเข้ามาขอซื้อกิ่งพันธ์จากคนไทย ตอนแรกก็เป็นการส่งโดยผ่านคนที่อยู่ตามแนวชายแดน ตอนหลังพ่อค้าชาวมาเลเซียบางคนก็เข้ามาติดต่อ กับทางคนขายในไทยโดยตรง มีการส่งออกกิ่งพันธ์ออกไปมาเลเซียจำนวนมาก บางเจ้ามียอดขายเป็นพันกิ่ง แต่ในยุคที่การค้าเฟื่องฟู ก็ได้มีปัญหาเกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน คือสายพันธ์จำนวนนึงเมื่อปลูกจนติดลูกกลับไม่ตรงสายพันธ์ คือมีลักษณะผล ใบที่ไม่ตรงตามข้อมูล บางสายพันธ์ติดผลแล้วร่วง รวมทั้งปัญหาการปลูกแล้วตาย.(เรื่องปัญหาเหล่านี้ ค่อยมาเก็บตกขยายความกันในวันหลัง) เมื่อมะเดื่อฝรั่งราคาดี การค้าขายต้นพันธ์สร้างเงินเป็นกอบเป็นกำ ก็ได้รับความสนใจจากบุคคลในกลุ่มอื่นๆ จากที่เคยปลูกอย่างอื่น เคยทำอย่างอื่น เคยขายอย่างอื่น หลายท่านได้เข้ามาปลูกมะเดื่อฝรั่ง ตอนเข้ามาช่วงแรกๆบางท่านยังใช้นามสกุลเดิม*ต่อมามีเปลี่ยนบ้าง บางคนก็ยังใช้นามสกุลเดิมจนถึงปัจจุบัน บางคนเปลี่ยนเพราะFace bookบังคับ หลายๆคนที่เคยอยู่วงการชวนชม หรือมะนาวเมื่อสนใจเข้ามาสู่วงการมะเดื่อฝรั่ง ก็ได้พกพาทักษะและเทคนิคการยยายพันธ์โดยการติดตาเสียบยอดมาใช้กับมะเดื่อฝรั่ง หลายๆท่านกลายเป็นเซียนกลายเป็นระดับอาจารย์มีลูกศิษย์นับหน้าถือตา ฝีมือในการ ปาดตา บากลิ่ม บากกิ่งสวยงาม เนี๊ยบนิ้ง อย่างกับหมอศัลยกรรมกันเลยทีเดียว

เมื่อมาถึงจุดที่ peakสุด ทั้งเรื่องการได้รับความสนใจ ความตื่นตัว จำนวนพ่อค้าแม่ค้าที่เพิ่มมากขึ้น. หลายคนกลายสภาพมาจากคนซื้อคนปลูก. มะเดื่อฝรั่งจากหลายๆที่ได้รับการทำตลาด** ไม่ว่าจากฝั่งอเมริกา สเปน ฝรั่งเศษ มีการติดต่อทาบทามขอซื้อกิ่งสดจากนักสะสมสายพันธ์ในต่างประเทศ เพื่อมาขายในประเทศไทย บางคนสั่งมาขยายพันธ์เพื่อสะสมแต่อาจแบ่งขายบางส่วน ช่วงนี้เริ่มมีสงครามการค้าเล็กๆเกิดขึ้นระหว่างคนขาย คนนำเข้าสายพันธ์เกิดขึ้นบ้าง มีเรื่องราวดราม่าให้เหล่าคนที่สนใจในความเป็นไปของโลก(ขาเผือก) ได้ปูเสื่อรอชม ประหนึ่งเหมือนปูเสื่อดูหนังกลางแปลงที่ฉายตามชนบทในสมัยก่อน(บอกแล้วว่า ปลูกมะเดื่อฝรั่งได้อะไรมากกว่าที่คุณคิด) เรื่องดราม่า มีตั้งแต่คนไทยกับคนไทย ไปยันคนไทยกับฝรั่ง เมื่อมีคู่ชก ก็ต้องมีกองเชียร์ จากการที่เฝ้าเกาะขอบเวทีอย่างใกลชิดพบว่า กองเชียร์จำนวนนึง มักไม่สนใจที่มาที่ไป เหตุแห่งสาระของความขัดแย้ง แต่จะเชียร์และให้กำลังใจคนที่ชอบ คนที่เป็นเพื่อนตัวเอง คนที่ตัวเองเป็นFC และไปถล่มอีกฝั่งโดยที่หลายๆครั้งก็ไม่ได้รู้เหตุแห่งความเป็นจริงและไม่คิดที่แสวงหาความจริงด้วย ในช่วงนี้ได้มี มิจฉาชีพ หรือพวกกึ่งมิจฉาชีพเร้นกายเข้ามาอยู่ตามกลุ่มมะเดื่อฝรั่ง บางคนเข้ามาหลอกขาย มีทั้งขายของปลอม(โดยตั้งใจ) บางคนขายแล้วไม่ส่งของ บางคนซื้อของรับของเค้ามาแล้วไม่โอนเงิน มีแม้กระทั่งโกงสลิปเอาสลิปปลอมมาใช้ ก็สร้างความปวดเศียรเวียนเฮดให้กับหลายๆคน หลายๆเคสยังตามทวงกันจนทุกวันนี้. เวลาก็เดินไปเรื่อยๆ ขาย ซื้อ ปลูก โต ตอน ตาย เศร้า เซ็ง บางคนเลิกปลูกไปเลยก็มี

ส่วนเรื่องราคาของสายพันธ์ต่างๆ ก็อย่างที่รู้ที่เห็น อะไรดังอะไรขายได้ อะไรขายได้ราคาดี ก็แห่กันทำออกมาแข่งกัน โจมตีกันไปมา แข่งกันดั้มราคา จนราคาตกอย่างกับตลาดหุ้นยุคฟองสบู่แตก ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดคือ BNR. ทำกันเยอะมาก เยอะไม่พอยังเอารูป เอาปริมาณ รวมทั้งออเดอร์หลังบ้านมาบลัฟมาแข่ง มาข่มกัน สุดท้ายก็กลัวเงาตัวเอง กลัวขายไม่ได้ ก็หั่นราคา ขายตัดราคากัน พอมึงดั้มกูก็ดั้มสุดท้ายจากเมื่อต้นปียังหลักหมื่นก็เหลือไม่ถึง1500 แต่ยัง ยังไม่หยุดแค่นั้น ยังขยันทำมีเปิดจองหลังบ้าน(ไม่แน่ใจว่าราคาอาจจะถูกกว่าราคาต่ำสุดในท้องตลาด ณเวลานี้) อย่างกับว่า ถ้าราคาไม่ลงไปถึง150ก็จะไม่หยุด แล้วมันก็เดินมาถึงจุดที่ว่า. #เราเดินมาถึงจุดนี้ได้ยังงัย

จบpart3แล้วครับ ตอนนี้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ผ่านมาใกล้ๆนี้ เชื่อว่าหลายท่านที่ยังอยู่. ต่างก็รับรู้มา มากบ้าง น้อยบ้าง. #โดยในตอนนี้ ผมมีเจตนาแค่เล่าเรื่องเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจโจมตี หรือแขวะใคร ถ้าเนื้อเรื่องนี้ ไปโดนใครหรือรู้สึกว่าเป็นตัวท่านก็อย่าได้สนใจ เพราะท่านเองก็เป็นแค่ตัวละครตัวหนึ่งในสังคม เมื่อเราสาธยายถึงความเป็นไปในสังคม มันยากที่จะเลี่ยงจะเบี่ยงให้ไม่โดนใครเลย

*นามสกุลเดิมในที่นี้หมายถึง วลีต่อท้ายชื่อ เช่นเมื่อก่อนขายรองเท้ามือสอง ก็อาจมีชื่อว่า. ตี๋รองเท้ามือสอง พอกิจการรองเท้าเจ๊งหันมาปลูกมาขายมะเดื่อก็เปลี่ยนเป็น ตี๋มะเดื่อเงินล้าน เป็นต้น
**การทำตลาดคือการทำให้สินค้านั้นๆขายได้ โดยใช้จุดเด่น ความต่างหรือลักษณะพิเศษของสินค้าเป็นตัวชูสินค้าให้ได้รับความสนใจและที่สำคัญต้องขายได้ราคา. สิ่งเหล่านี้มีชื่อเรียกขานกันในมุมลบว่า. "ปั่น"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น